วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

เซิร์ชเอนจิ้น

เซิร์ชเอ็นจิน




 Search Engine คือ เครื่องมือสำหรับค้นหาข้อมูลที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต ด้วยคำค้นต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลนั้นอาจอยู่ในรูปแบบของเว็บไซต์ ไฟล์เอกสาร ไฟล์รูปภาพ สื่อมัลติมีเดียไฟล์บีบอัด และรูปแบบอื่น ๆ ที่สามารถบันทึกเป็นเอกสารออนไลน์ได้ ตัวอย่างเว็บไซต์ที่มีลักษณะเป็น Search Engine มีดังนี้
•http://www.google.com

•http://www.live.com

•http://www.yahoo.com

•http://www.baidu.com

•http://www.ask.com


ความสำคัญของเสิร์ชเอนจิ้น


 เสิร์ชเอนจิ้นหรือเสิร์ชเอ็นจิ้นถือเป็นเครื่องมือใหม่ในการสืบค้นหาข้อมูลต่างๆบนโลกออนไลน์ โดยเสิร์ชเอนจิ้นทำงานอยู่บนเว็บไซต์ค้นหาทั้งหลาย เช่น Google , Yahoo , Msn เป็นต้น ซึ่งในเว็บไซต์เหล่านี้จะมีโปรแกรมค้นหาหรือ Robot ซึ่งข้อมูลที่ค้นหาต้องมีปรากฎอยู่ในฐานข้อมูลของเว็บไซต์ค้นหานั้นๆ จึงจะหาพบ ซึ่งผู้ใช้อินเทอร์เนตจะทราบดีถึงวิธีการค้นหาข้อมูลต่างๆ และผู้คนทั่วโลกก็นิยมค้นหาข้อมูลหรือเสิร์ชเอนจิ้นผ่านเว็บไซต์ค้นหามากขึ้นแบบก้าวกระโดด ไม่ว่าจะหาอะไรก็หาเจอ ถ้าข้อมูลนั้นๆถูกนำมาจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลของเว็บไซต์ค้นหา  ดังนั้นเราจึงเห็นเว็บไซต์แต่ละค่ายต่างต้องทำเสิร์ชเอนจิ้นให้เว็บไซต์ของตัวเองติดอันดับต้นๆในฐานข้อมูลของเว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้นอย่าง Google ซึ่งถือว่าเป็นเว็บไซต์ค้นหาอันดับหนึ่งของโลกที่มีผู้คนนิยมค้นหามากที่สุด การค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้นต้องใช้คีย์เวิร์ด ( Keyword ) ซึ่งคีย์เวิร์ดที่ใช้เป็นภาษาอะไรก็ได้ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศเขตแดนดังนั้นเสิร์ชเอนจิ้นหรือเสิร์ชเอ็นจิ้น จึงมีวามสำคัญมากๆสำหรับทุกๆเว็บไซต์ที่ต้องการให้เว็บไซต์ของตัวเองค้นหาได้ง่ายขึ้น เพื่อให้มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมเพิ่มมากขึ้น โอกาสของธุรกิจก็จะมากขึ้นตามไปด้วย เสิร์ชเอนจิ้นจึงมีความสำคัญและบทบาทเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆและรวดเร็ว ประเภทว่าเสิร์ชเอนจิ้นโตแบบก้าวกระโดดก็ว่าได้ เพราะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาดไปเรียบร้อยแล้ว จะได้ยินการตลาดผ่านเสิร์ชเอนจิ้นบ่อยๆและนับวันจะยิ่งเพิ่มความสำคัญมากกขึ้นเรื่อยๆต่อไปทุกองค์กรธุรกิจต้องทำตลาดผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า เสิร์ชเอนจิ้น ตัวนี้อย่างแน่นอน   การทำตลาดผ่านเคืรื่องมือค้นหาหรือเสิร์ชเอนจิ้น ( Search Engine ) ปัจจุบันหลายๆธุรกิจได้ทำตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาหรือเสิร์ชเอนจิ้น โดยเฉพาะเสิร์ชเอนจิ้นที่ผ่านเว็บไซต์ค้นหาอย่าง Google ซึ่งได้รับความนิยมสูงมากๆ และได้ผลตรงจุดมากที่สุด ถือว่าเป็นแหล่งทรัพยากรลูกค้าที่ดีที่สุด เป็นบ่อเงินขุมทรัพย์ของผู้ประกอบการธุรกิจแทบทุกแขนงก็ว่าได้  

กระบวนการทำงานของ Search Engine


โดย ปกติแล้ว Search Engineจะมีเครื่องมือที่ชื่อว่า Robot (หุ่นยนต์) ในการสืบค้นเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อนำมาจัดเก็บในระบบฐานข้อมูลด้วยการทำ Index โดย Robot จะเดินทางจากเว็บหนึ่ง ไปอีกเว็บหนึ่งผ่าน Hyperlink ที่มีอยู่ในเว็บไซต์นั้นๆ การเรียงลำดับผลลัพธ์จากการค้นหา

Search Engine มีอัลกอลิธึ่มในการจัดลำดับผลลัพธ์การค้นหาแตกต่างกันไป ซึ่งโดยปกติแล้วส่วนมากจะเรียงจากความสัมพันธ์กับคำค้นที่ใช้ค้นหา และมีปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่น ประเทศ ภาษา ขนาดของไฟล์ จำนวนผู้เข้าชม ความถี่ในการอัพเดทข้อมูล จำนวนลิงค์ เป็นต้น

ศัพท์น่ารู้

•Robot = หุ่นยนต์ ในที่นี้หมายถึงหุ่นยนต์ที่เป็นเครื่องมือของ Search Engine ใช้ติดตามข้อมูลต่าง ๆ สำหรับจัดเก็บในระบบฐานข้อมูล

•Index = การรวบรวมข้อมูล และจัดเก็บสำหรับการสืบค้น

•Hyperlink = การเชื่อมโยงหลายมิติ หรือ เส้นทางการเดินทางของข้อมูลจากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่ง


เสิร์ชเอนจิน (search engine) คือ 


โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต โดยครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่น ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่โปรแกรมหรือผู้ให้บริการแต่ละราย. เสิร์ชเอนจินส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากคำสำคัญ (คีย์เวิร์ด) ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป จากนั้นก็จะแสดงรายการผลลัพธ์ที่มันคิดว่าผู้ใช้น่าจะต้องการขึ้นมา ในปัจจุบัน เสิร์ชเอนจินบางตัว เช่น กูเกิล จะบันทึกประวัติการค้นหาและการเลือกผลลัพธ์ของผู้ใช้ไว้ด้วย และจะนำประวัติที่บันทึกไว้นั้น มาช่วยกรองผลลัพธ์ในการค้นหาครั้งต่อ ๆ ไปสัดส่วนของผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกา (ข้อมูลจาก นิตยสารฟอรบส์ ฉบับวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2548)

1. กูเกิล (Google) 36.9%

 2. ยาฮูเสิร์ช (Yahoo! Search) 30.4%

 3. เอ็มเอสเอ็นเสิร์ช (MSN Search) 15.7%

นอกจากด้านบน เว็บอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมได้แก่

 - เอโอแอล (AOL Search)

 - อาส์ก (Ask)

 - เอ 9 (A9)

 - ไป่ตู้ (Baidu, 百度) เสิร์ชเอนจิน อันดับ 1 ของประเทศจีน

เสิร์ชเอนจิน เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการวิกิไอที โดยพยายามที่จะปรับปรุงคุณภาพ รวบรวมเรื่องราวเนื้อหาสาระ ครอบคลุมเกี่ยวกับ เทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต เน็ตเวิร์ก ซอฟต์แวร์ ถ้าต้องการมีส่วนร่วมในโครงการ สามารถดูวิธีการที่หน้าโครงการวิกิไอที และสถานีย่อยเทคโนโลยีสารสนเทศ
ปัจจุบันนี้ เสิร์ช เอ็นจิ้น (search engine) กลายมาเป็นสิ่ง จำเป็น สำหรับการท่องโลกอินเตอร์เนต เพราะหาก ไม่มีบริการ ช่วยค้นหาข้อมูล เหล่านี้ เราต้องใช้เวลานับหลายชั่วโมง หรือเป็นวัน ที่จะค้นหาข้อมูล ที่เราต้องการ จะใช้งานครบ   ซึ่งเสิร์ช เอ็นจิ้น ก็มีมากมาย หลายเจ้า ให้เราได้เลือกใช้งาน กัน ซึ่ง แต่ละเจ้า ก็มีวิธี การที่ ใช้ค้นหาข้อ มูล ที่แตกต่างกัน   เราสามารถแบ่ง เว็บไซต์ ที่ให้บริการค้นหาข้อมูล ออกเป็น ประเภทใหญ่ ๆ 


รูปแบบของการทำการตลาดผ่านเสิร์ชเอนจิ้นมี 2 รูปแบบ ดังนี้



1. เสิร์ชเอนจิ้นแบบธรรมชาติ เป็นเสิร์ชเอนจิ้นที่ปรากฎข้อมูลหรือผลของการค้นหาข้อมูลจะอยู่ด้ายซ้ายของคอมพิวเตอร์ เสิร์ชเอนจิ้นประเภทนี้ต้องแข่งขันกันสูงมากๆบางคีย์เวิร์ดแข่งขันกันหลายล้านรายการ  ซึ่งผู้ที่ทำการเสิร์ชหาข้อมูลส่วนมากจะดูหน้าแรกหรืออย่างมากไม่เกินหน้าสองหรือสาม ดังนั้นการทำเสิร์ชเอนจิ้นของเว็บไซต์ส่วนใหญ่จึงต้องการให้เว็บไซต์ของตนเองติดหน้าแรก ยิ่งได้อันดับต้นๆยิ่งดีมากๆ เพราะโอกาสผู้คนเข้าก็มากตาม
2. เสิร์ชเอนจิ้นแบบสร้างแคมเปญ ซึ่งการเสิร์ชเอนจิ้นประเภทนี้ต้องเสียเงินตามราคาที่ประมูลได้ และเสียเงินก็ต่อเมื่อมีคนคลิกหรือที่เรียกว่า Pay Per Click : PPC เสิร์ชเอนจิ้นประเภทนี้ใช้เวลาให้โฆษณาขึ้นหน้าแรกไม่ถึง 10 นาที ซึ่งจะต่างกับแบบแรกที่ต้องใช้ระยะเวลานานหลายเดือน
 
-         การบริการค้นหา ข้อมูลตามหมวดหมู่ (directory)


ข้อแตกต่าง ระหว่างวิธีการทั้งสอง เปรียบเทียบได้ว่า ให้เว็บไซต์ที่มีอยู่ทั้งหมด เป็นหนังสือหลายล้านเล่ม   เทคนิคการ ใช้ อินเด็กซ์ ก็คือ การทำบัญชีรายการ ของคำ ทุกคำ ที่มีอยู่ใน หนังสือทุกเล่ม เมื่อ เรามองหาคำที่เราต้องการ จากบัญชีนี้ เราจะทราบทันทีว่า หน้าใดของหนังสือเล่มใด ที่มีคำ ๆ นี้อยู่ บ้าง ส่วนอีกวิธีหนึ่ง จะทำการแบ่งประเภท ว่า หนังสือแต่ละเล่มมีหัวเรื่องตรงกับ ประเภทใหญ่ ๆ อะไรบ้าง   แล้วนำหนังสือมาวางเรียง ไว้ภายใต้หัวเรื่อง ประเภทเดียวกัน รอให้เรามาค้นต่อไป

การค้นหาโดยใช้อินเด็กซ์


เราคง เคยได้ยินชื่อ เสิร์ช เอ็นจิ้น อย่าง อัลตาวิสต้า (AltaVista/www.altavista.digital.com) และฮ็อทบ็อท (HotBot/www.hotbot.com) ทั้งสอง เป็นตัวอย่างของเสิร์ช เอ็นจิ้นนี้  หลักการคือ เขาจะม ีโปรแกรมตัวหนึ่ง เป็นตัวสแกน ไปตามเว็บไซต์ต่าง ๆ เรียกว่า โปรแกรม สไปเดอร์  การค้นหา ข้อมูลโดยใ ช้ อินเด็กซ์ มีจุดเด่นอยู่ ตรงฐานข้อมูล ที่ใหญ่โตและยัง มีการปรับปรุงข้อมูล ให้ทันสมัยอยู่เสมอ ตลอดเวลา เพราะ สไปเดอร์มัน ทำงาน ไม่หยุด    ยกตัวอย่าง เช่น ถ้า เราต้องการค้นหาข้อมูลใน อัลตาวิสต้า เพื่อขอรายละเอียด เกี่ยวกับตัว "Spider" เราก็จะ ได้ผลลัพธ์ ออกมาว่า มีเว็บเพจประมาณ 39,000 หน้า ที่มีคำนี้อยู่  ซึ่งนี่ คือข้อเสียของ การค้นหาด้วยวิธีนี้ 


การค้นหาตามหมวดหมู่

เสิร์ช เอ็นจิ้น ชื่อดังอีก 2 ตัว ได้แก่ ยาฮู (Yahoo!/www.yahoo.com)และแมกเจลแลน (Magellan/www.magellan.com) เลือกใช้เทคนิคนี้ โดยใช้มนุษย์ เป็นคนจัดหมวดหมู่ ของเว็บไซต์ และคอย ปรับปรุงให้ขอมูล ทันสมัยอยู่เสมอ เนื่องจากบัญชี รายชื่อเว็บไซต์ ได้ผ่านการจัด หมวดหมู่โดยมนุษย์ ดังนั้น ในรายชื่อก็จะมี รายละเอียด คร่าว ๆ เกี่ยวกับเว็บไซต์ ที่เพิ่มเติม ลงไป ข้อของการค้นหาแบบนี้คือ สามารถตีกรอบผลลัพธ์ ออกมาตรง กับความ ต้องการ มากขึ้น เช่น เราลองใส่คำว่า "Spider"  ในยาฮู! ค้นหาดู เราจะได ้รายการของ หมวดหมู่ออก มา เช่น zScience: Zoology: Animals,Insects and Pets: Arachnids แล้ว ก็มี Computers and Internet: Internet: World Wide Web: Searching the Web: Robots,Spiders, ด้วย รายชื่อหมวดหมู่เหล่านี้ จะช่วยให้เรา ค้นหา ความหมายตามที่เรา ต้องการ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น   ข้อเสียของ การค้นหาของยาฮู! คือ มันจะค้นหาเฉพาะหน้าที่เป็น โฮมเพจ(หน้าแรก) ของแต่ละเว็บไซต์ เท่านั้น


Yahoo

ตัวค้นหาข้อมูล Yahoo เป็นตัวค้นหาข้อมูล ลักษณะการค้นหาในแบบเมนู คือ บนจอภาพจะแบ่งหัวข้อต่าง ๆ ออก เป็นหมวดหมู่ ใหญ่ ๆ หรือเรียกว่า หัวข้อหลักในแต่ละหัวข้อหลักประกอบ ด้วยหัวข้อย่อยอีกหลาย หัวข้อ เราสามารถเจาะลง ไปใน หัวข้อ ที่เกี่ยวข้อง ทีละ ชั้น จนกระทั่ง ไปถึงหัวข้อ ที่เราต้องการ หรือใส่สิ่งที่เราต้องการค้นหา ลงไปในช่อง ว่าง สำหรับ ใส่ข้อความแล้วสั่ง ให้โปรแกรมค้นหาสิ่ง นั้น ก็ได้ เทคนิคการใช้งานของ Yahoo คือ จะค้นหาข้อมูล ตามคำที่เราพิมพ์ เข้าไป มากกว่าที่จะค้นหา ตามความหมาย ของคำ การค้นหาข้อมูล ที่ต้องการ โดยกำหนดข้อแม้ แบบตรรก เช่น AND , OR สามารถทำได้โดยกำหนด ใน Search Option ซึ่งจะมีควาหมาย ให้ Yahoo ค้นหาข้อมูลเฉพาะคำที่กำหนด ทั้วคำ หรือคำ ใดคำหนึ่ง ที่กำหนดก็ได้สำหรับผล การค้นหา ข้อมูลของ Yahoo จะแสดงผลเป็น แต่ละหัวข้อเรียงกันไป โดยในแต่ละ หัวข้อจะมีคำบรรยาย ย่อ ๆ ในเราพอ ทราบ ว่าหัวข้อ ที่ค้นหามา ได้นั้น เป็นเรื่องราวเกียวกับอะไร เพื่อที่เราจะได้เลือกค้นหา สิ่งที่เราต้องการจากหัวข้อ เหล่านั้นต่อไป แต่ผล การค้นหาข้อมูล แบบ Yahoo จะไม่มีคะแนนหรือเปอร์เซ็นต์ ความใกล้ เคียงของผลลัพธ์ กับสิ่งท่ต้องการค้นหา แสดงให้เราทราบ อย่างตัวค้นหาอื่น ๆ   เราสามารถเข้าไปทดสอบความสามารถของ Yahoo ได้ที่ http://www.yahoo.com/


Infoseek

Infoseek จัดว่าเป็นตัวค้นหาข้อมูล ที่มีเทคโนโลยี ก้าวหน้าที่สุดตัวหนึ่งใน อินเตอร์เนต คือ สามารถค้นหาข้อมูลได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการค้นหา คำแบบ ธรรมดา การค้นหาความหมายของคำ การค้นหา ในลักษณะของคำพูด ไปจนถึง การค้นหาแบบตรรกะ Infoseek จะค้นหา ข้อมูลจากแหล่ง ที่เป็น Web และ Newsgroup เป็นหลัก นอกจากนี้ Infoseek ยังมีเมนู ในการค้นหาข้อมูล ที่แบ่งออก เป็นหัวข้อต่าง ๆ ให้ เลือกค้นหา คล้าย ๆ กับเมนูของ Yahoo   การค้นหาข้อมูลของ Infoseek ใช้หลักการของ "Concept based" คือ สามารถหาข้อ มูลที่ต้องการ โดยใช้ความหมาย ของข้อมูล ดังนั้นแม้ว่า ข้อมูลบางแห่ง จะไม่มีคำที่เราสั่ง ให้ค้นหาอยู่เลย แต่ถ้ามีความหมาย ตรงกัน Infoseek ก็จะถือว่าข้อมูล นั้นตรงกับ สิ่งที่เราค้นหา ซึ่งถ้าใช้วิธีการค้นหา ขอ้มูลด้วย วิธีเปรียบเทียบ คำแบบตรง ๆ ก็จะได้ผลลัพธ์ที่แคบกว่า และจำนวนข้อมูลที่ค้นพบน้อยกว่านอกจากนี้ Infoseek ยังมีเทคนิค ที่ใช้ กำหนด ให้ค้นหา ข้อมูลเจาะจงในแบบต่าง ๆ ได้อีกด้วย คือ ถ้าต้องการ ให้ค้นหา คำ สองคำ ที่ติดกัน ก็ได้ใช้เครื่องหมาย (-) ระหว่างคำ เช่น cable-network จะหมายถึง การค้นหาข้อมูล เกี่ยวกับ วิทยุหรือโทรทัศน์ ที่ให้บริการ cable network อย่างเช่น CNN แต่ถ้าไม่ใส่เครื่องหมาย (-) จะเป็นการค้นหาข้อมูล เกี่ยวกับ cable หรือ network ก็ได้ ซึ่ง จะรวมถึง การต่อ LAN สิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับเคเบิ้ล เราอาจใช้เครื่อหมาย " " แทนเป็น "cable network" ก็จะได้ผลเหมือนกัน 

ผลลัพธ์ ที่ได้ จากการค้นหา ขอ้มูลใน Infoseek จะแสดงเป็นหัวข้อ เรียงตามลำดับ ความใกล้เคียง กับสิ่งที่เราค้นหา โดยมีคะแนน ความใกล้เคียง แสดงอยู่ ในวงเล็บ พร้อมบอกขนาดของเอกสาร นั้น ด้วยว่ามี ขนาดกี่กิโลไบต์ นอกจากนี้ยัง แสดง ข้อความย่อของแต่ละหัวข้อนั้น ประกอบด้วย เพื่อที่เราจะได้อ่านดูว่า มีเอกสารใดตรงกับ สิ่งที่เราต้องการ   เราสามารถเข้าไปทดสอบความสามารถของ Infoseek ได้ที่ http://www.infoseek.com/


Excite

การค้นหาข้อมูลของ Excite นั้น จะค้นหาข้อมูลที่ เป็นคำ หรือความหมาย ของคำ โดยจะค้นหาจาก World Wide Web และ Newsgroup เป็นหลัก  โดยใช้เทคนิคแบบ "Concept based" คือ พยายามตี ความหมาย ข้อมูลที่เราต้องการค้นหา กับข้อมูลแต่ละ site ในคลังข้อมูล ว่ามี site ใด เก็บข้อมูลตรงกับ ความหมายที่เราต้องการบ้าง ไม่ได้ดู เฉพาะ การเปรียบเทียบ คำต่อคำ ให้เหมือนกันเท่านั้น นอกจากนี้ Excite ยังมีโปรแกรม ที่เรียกว่า Spider คอยสำรวจตรวจสอบ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ให้ คลังข้อมุล ถูกต้องตลอด เวลา การ ค้นหาข้อมูล แบบตรรกะ ทำได้โดยใส่ คำว่า AND ,OR , NOT และใช้วงเล็บ ( ) เพื่อกำหนดสิ่งที่ ต้องการค้นหา ให้เฉพาะ เจาะจง ยิ่งขึ้น รวมทั้ง ใช้เครื่องหมาย  (+) และเครืองหมาย(-)  เพื่อกำหนดว่า จะให้ค้นหา รวม หรือรวม อะไรบ้าง  เช่น food AND (thai OR chiness) จะหมายถึง การค้นหา อาหารไทยและอาหารจีน เท่านั้น   โปรดสังเกตว่า สิ่งที่เราต้องการ ค้นหา ใช้ตัว พิมพ์เล็กสะกด ส่วนคำ AND, OR , NOT นั้น ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ สะกด เพื่อ ความชัดเจนใน การค้นหา ถ้าเราสั่ง ให้ค้นหา disney+movie จะหมายถึง การค้นหาภาพยนต์ของดิสนีย์ ซึ่งเครื่องหมาย + จะอยู่ติดกับคำว่า movie โดยไม่ต้องมีการเว้นวรรค หรือ ถ้าสั่งให้ค้นหา pets -dog จะหมายถึง การค้นหาข้อมูล เกี่ยวกับสัตว์ เลี้ยง ที่ไม่รวมสุนัข  การแสดงผล คล้าย ๆ กับ ของ Yahoo และ Infoseek คือ มีการแบ่งหัวข้อต่าง  ๆ ให้เราค้นหาลงไปทีละชั้น จนกระทั่ง พบข้อมูล ที่เราต้องการ  โดยแบ่งเป็น หัวข้อใหญ่ ๆ และมีหัวข้อย่อย ๆ อยู่ในหัวข้อใหญ่อีกทีหนึ่ง   และมีตัวเลขเปอร์เซ็นต์ความ ใกล้เคียง ของข้อมูล อยู่หน้าหัวข้อ  ตัวเลขที่มาก จะแสดงความใกล้เคียง ได้มากกว่า ตัวเลขน้อย  เราสามารถเข้าไปทดสอบความสามารถของ Excite ได้ที่ http://www.excite.com/


Lycos

Lycos จะค้นหาข้อมูล จาก World wide Web ได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นคำต่อคำ   การค้นหาข้อมูลที่ เป็นวลี หรือข้อความ รวมไป ถึง การค้นหาข้อมูลใน แบบตรรกะ (boolean) ที่มี AND , OR , NOT รวมอยู่ ในข้อแม้ ของสิ่งที่ เราสั่ง ให้ค้นหา ด้วย โดย Lycos มีโปรแกรม Spider  คอยปรับปรุง ความถูกต้อง ของคลังข้อมูล ทุกวัน นอกจาก จะค้นหา ข้อมูลตามที่เรา ป้อน เข้าไปแล้ว Lycos ยังมีเมนูการค้นหา ข้อมูล ที่แบ่งออก เป็นหัวข้อ ต่าง ๆ เช่น เดียวกับ ตัวค้นหาข้อมุลอื่น ๆ ให้เราเลือกเจาะหา ข้อมูล ที่ต้องการ ได้อีกด้วย ผลลัพธ์ของ การค้นหา ข้อมูล จาก Lycos จะแสดงเป็นหัวข้อ เรียงกัน ไปพร้อมกับ ข้อความ อย่างย่อ ๆ ของหัวข้อนั้น ๆ และตัวเลข เปอร์เซ็นต์ แสดง ความใกล้เคียง ของข้อมูล คล้าย ๆ กับการ แสดงของ Excite คือ ตัวเลขที่แสดง เปอร์เซ็นต์ มาก จะ มีความ ใกล้เคียง ของข้อมูล มาก และใน Lycos จะแสดงรายละเอียดด้วย ว่า หัวข้อนั้น มีคำ ที่ต้องการค้นหา อยู่กี่คำ ทำให้ ผู้ใช้เลือกค้นหา ข้อมูล จากหัวข้อ ต่าง ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น เราสามารถเข้าไปทดสอบความสามารถของ Lycos ได้ที่ http://www.lycos.com/


ประโยชน์ที่ได้รับจากการทำ Search Engine ให้กับเว็บไซต์


ต้องบอกว่า มหาศาลครับ ถ้าคุณทำเป็นและทำถึง บอกด้คำเดียวว่ามีประโยชน์ต่อคุณอย่างมากๆจนแทบจะหาคอบตอบไม่ได้ แต่ที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดมีดังนี้

1. ได้ลูกค้าและขายสินค้าได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

2.  ไม่ต้อเสียค่าโฆษณาเป็นรายเดือนเหมือนสมัยก่อน ซึ่งเมื่อสมัย 5 ปีก่อนเกิดกูเกิ้ล ผมต้องจ่ายค่าโฆษณารายเดือนให้เว็บไซต์ต่างๆมากกว่าเดือนละ 12,000 บาท ซึ่งโฆษณาอยู่หลายปี จ่ายเงินค่าโฆษณาไปเป็นจำนวนมาก  แต่ตั้งแต่กูเกิ้ลให้บริการเสิร์ชเอนจิ้นเป็นต้นมา ผมก็ไม่เคยจ่ายค่าโฆษณาแม้แต่สลังเดียว นี่คือประโยชน์ที่ได้รับตรงๆและเห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุด เซฟค่าโฆษณาในปีหนึ่งๆได้จำนวนมาก

3. ลูกค้าเข้าหาเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ด้วยคีย์เวิร์ดต่างๆที่เราตั้งไว้

4. ปรับแต่งได้ง่ายและรวดเร็ว

5. เป็นบริการฟรีๆ

และอื่นๆอีกมากมาย พูดง่ายๆ ถ้าคุณทำเสิร์ชเอนจิ้นเป็นและทำถึง แทบไม่ต้องไปทำการโปรโมทเว็บไซต์อย่างอื่นเลย เพราะประสิทธิภาพน้อยกว่าเสิร์ชเอนจิ้นมากๆ



ที่มา :  http://www.advancedinfomedia.com/old-version/whatissearchTH.htmgg 
 
   
 

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550


พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2550 และมีผลบังคับใช้
ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2550 เป็นต้นไป
             





ความผิดที่เข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ. ฉบับนี้
-  การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
-  การเปิดเผยข้อมูลมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์
  ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
-  การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ
-  การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
-  การทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม 
   ข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ
-   การกระทำเพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
   ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

- การส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์รบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของคนอื่น
   โดยปกติสุข
-  การจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือ
   ในการกระทำความผิด
-  การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่น ผู้ให้บริการจงใจสนับสนุนหรือ  
   ยินยอมให้มีการกระทำความผิด
-  การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล


ผู้ให้บริการตาม พ.ร.บ.นี้  สามารถจำแนก 4 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมไม่ว่าโดยระบบโทรศัพท์ ระบบดาวเทียม ระบบวงจรเช่าหรือบริการสื่อสารไร้สายผู้ให้บริการการเข้าถึงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไม่ว่าโดยอินเทอร์เน็ต ทั้งผ่านสายและไร้สาย หรือในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดตั้งขึ้นในเฉพาะองค์กรหรือหน่วยงาน
-  ผู้ให้บริการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ หรือให้เช่าบริการโปรแกรมประยุกต์ (Host Service Provider) 
-   ผู้ให้บริการข้อมูลคอมพิวเตอร์ผ่าน application ต่างๆ ที่เรียกว่า content provider เช่นผู้ให้บริการ web board หรือ web service เป็นต้น


ข้อมูลของผู้ใช้บริการ

ผู้ให้บริการทั้งที่เสียค่าบริการหรือไม่ก็ตาม ต้องเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็น เพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้  ไม่ว่าจะเป็นชื่อนามสกุล เลขประจำตัวประชาชน USERNAME หรือ PIN CODE   ไว้ ไม่น้อยกว่า 90 วัน  นับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง หากผู้ให้บริการไม่ได้เก็บข้อมูลผู้ใช้บริการไว้ถือว่าทำผิดและอาจถูกปรับสูงถึง 500,000 บาท ต่อไปไม่ว่าจะไปใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ตรงจุดใดจะต้องมีการแจ้งลงทะเบียนโดยต้องใส่ username และ password เพื่อให้ผู้ดูแลระบบเครือข่ายสามารถเก็บบันทึกการเข้ามาใช้งานของได้รวมถึงเว็บบอร์ดทั้งหลาย ซึ่งมีผู้มาโพสเป็นจำนวนร้อย - พัน รายต่อวัน   เว็บมาสเตอร์ และผู้ดูแลโฮสติ้ง หรือผู้ทำอาชีพเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  อาจเสี่ยงต่อการระมัดระวังข้อความเหล่านั้นพระราชบัญญัตินี้ จะมีผลกระทบกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตโดยทั่วไป เพราะหากท่านทำให้เกิดการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ (ไม่

ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจ) ก็อาจจะมีผลกับท่านและที่สำคัญ คือผู้ให้บริการ ซึ่งรวมไปถึงหน่วยงานต่างๆที่เปิดบริการอินเทอร์เน็ตให้แก่ผู้อื่นหรือกลุ่มพนักงาน  นิสิต นักศึกษาในองค์กร  ผู้รับผิดชอบมีหน้าที่ดูแลอย่างรอบคอบในฐานะ "ผู้ให้บริการ"




ผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต


ในฐานะบุคคลธรรมดาไม่ควรกระทำในสิ่งต่อไปนี้ เพราะอาจจะทำให้เกิดการกระทำความผิด" ตาม พรบ.นี้
1. ไม่ควรบอก passwordแก่ผู้อื่น
2. อย่าให้ผู้อื่นยืมใช้เครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อเข้าเน็ต
3.  อย่าติดตั้งระบบเครือข่ายไร้สายในบ้านหรือที่ทำงานโดยไม่ใช้มาตรการการตรวจสอบผู้ใช้งานและการเข้ารหัสลับ
4.  อย่าเข้าสู่ระบบด้วยuser ID และ passwordที่ไม่ใช่ของท่านเอง
5.  อย่าส่งต่อซึ่งภาพหรือข้อความหรือภาพเคลื่อนไหวที่ผิดกฎหมาย
6.  อย่านำ user ID และ password ของผู้อื่นไปใช้งานหรือเผยแพร่
7.  อย่า กด "remember me" หรือ "remember password" ที่เครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะ  และอย่า log-in เพื่อทำธุรกรรม ทางการเงินที่เครื่องสาธารณะ
8.  อย่าใช้ WiFi (Wireless LAN)  ที่เปิดให้ใช้ฟรี โดยปราศจากการเข้ารหัสลับข้อมูล

ความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์  

2.  ไปรู้วิธีการเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นแล้วไปยังไปบอกให้คนอื่นรู้ ต่อจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3.  แอบไปเจาะข้อมูลของผู้อื่นที่เก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4.  แอบไปดักจับข้อมูลผู้อื่นระหว่างการสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
5. ไปแก้ไขข้อมูลของในระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน100,000บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
6. ส่ง  packet หรือ message หรือ virus หรือ trojan หรือ worm หรืออะไรก็ตามเข้าไปก่อกวนจนระบบผู้อื่นจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
7.  ส่งข้อมูลหรืออีเมล์ ให้ผู้อื่นซ้ำๆ โดยผู้รับไม่ได้ร้องขอปรับไม่เกิน100,000บาท
8. ความผิดผิดข้อ 5. กับ ข้อ 6. ทำให้บุคคลทั่วไปเกิดความเสียหายจำคุกไม่เกิน 10 ปีและปรับไม่เกิน 200,000บาทหากก่อความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ เศรษฐกิจ และสังคมจำคุกตั้งแต่ 3 - 5 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 -  300,000บาท และถ้าทำให้ใครตายก็จะเพิ่มโทษเป็น .. จำคุกตั้งแต่ 10ปีถึง 20ปี
9.  ถ้าเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์เพื่อทำให้ทำความผิดในหลายข้อข้างต้นจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000บาท รือทั้งจำทั้งปรับ 
10. สร้างภาพโป๊  เรื่องเท็จ  ทำการปลอมแปลง  กระทำการใดๆที่กระทบความมั่นคง  ก่อการร้าย และส่งต่อข้อมูลทั้งๆที่รู้ว่าผิดตามที่กล่าวมาข้างต้น  …  จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
11. เจ้าของเว็บ สนับสนุน / ยินยอมให้เกิดข้อ 10. จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
12. เอารูปผู้อื่นมาตัดต่อแล้วเอาไปเผยแพร่ในระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 60,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่มา : Bangkokwireless.net